วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

คลีโอพัตราที่ 7 ฟิโลปาตอร์

                                               
คลีโอพัตราที่ 7 ฟิโลปาตอร์ (กรีก: Κλεοπάτρα θεά φιλοπάτωρ; หรือรู้จักทั่วไปในนาม คลีโอพัตรา) (มกราคม ปีที่ 69 ก่อนคริสตกาล – 30 พฤศจิกายน ปีที่ 30 ก่อนคริสตกาล) เป็นพระราชินีแห่งอียิปต์โบราณและเชื้อพระวงศ์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ทอเลมีแห่งมาซิโดเนีย ดังนั้นจึงเป็นผู้ปกครองอียิปต์ที่มีเชื้อสายกรีกคนสุดท้าย บิดาของพระนางคือทอเลมีที่ 12 ออเลติส และคาดว่าพระมารดาเป็นเชษฐภคินีของโอเลเตส ทรงพระนามว่า คลีโอพัตราที่ 5 ทรีฟาเอนา ชื่อ "คลีโอพัตรา" เป็นภาษากรีก แปลว่า "ความเจริญรุ่งเรืองของบิดา" พระนามเต็มของพระนางคือ "คลีโอพัตรา เธอา ฟิโลปาตอร์" ซึ่งหมายถึง "เทพีคลีโอพัตรา ผู้เป็นที่รักของบิดา" พระนางมีพระปรีชาสามารถมาก ทรงแตกฉานถึง 14 ภาษา เช่น ฮิบรู, ละติน, มาเซดอนโบราณ, เอธิโอเปียน, ซีเรีย, เปอร์เซีย, และ อียิปต์ ซึ่งแม้แต่ในราชวงศ์ น้อยคนนักที่จะแตกฉานภาษานี้  ปัจจุบัน คลีโอพัตราที่ 7 ฟิโลปาตอร์ นับว่าเป็นผู้ปกครองอียิปต์โบราณที่มีชื่อเสียงมากที่สุด นิยมเรียกพระนามสั้น ๆ ว่า คลีโอพัตรา ซึ่งทำให้ราชินีองค์ก่อน ๆ ที่ทรงพระนามคล้ายคลึงกัน ลบเลือนไปสิ้น ในความเป็นจริง พระนางไม่เคยปกครองอียิปต์เพียงลำพัง แต่ครองราชย์ร่วมกับพระบิดา, พระอนุชา , สวามีผู้เป็นอนุชาของพระองค์ หรือไม่ก็พระโอรส การครองราชย์ร่วมกันดังกล่าวมีผู้ร่วมบัลลังก์เป็นเพียงกษัตริย์ตามพระยศเท่านั้น อำนาจแท้จริงอยู่ในมือของคลีโอพัตราเองทั้งสิ้น 

วัยเยาว์

คลีโอพัตราที่ 7 เป็นชาวกรีก กำเนิดในดินแดนอเล็กซานเดรีย, อียิปต์โบราณ ได้ขึ้นครองราชย์ลำดับถัดจาก ทอเลมีที่ 12 แห่งอียิปต์ ขณะนั้นพระนางเบเนไซน์และแม่ทัพอาร์เชลล์ได้ร่วมกันก่อการกบฏขึ้น ทำให้ฟาโรห์ทอเลมีที่ 12 ออเลติส ต้องเดินทางไปขอกำลังเสริมจากสภาซีเนตแห่งกรุงโรม และจ่ายเงินตามข้อเรียกร้องของ ออกัส กาบิเนียส จำนวน 10,000 เทลแลนด์ เนื่องจากฟาโรห์ไม่มีเงินพอ จึงขอยืมเงินจากคหบดีผู้ร่ำรวยนาม ราบีเรียส โพลตูมัส แล้วกลับอียิปต์พร้อมกองกำลังเพื่อจัดการกับผู้ก่อการกบฏ และได้สั่งประหารพระนางเบเนไซน์กับแม่ทัพอาร์เชลล์ ทำให้ราบีเรียสได้เข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพระคลังของอียิปต์

ขึ้นครองราชย์

ราบีเรียสรีดไถชาวอียิปต์อย่างหนัก ทำให้ชาวเมืองลุกฮือต่อต้านด้วยความไม่พอใจ จนเขาต้องหนีกลับโรม เมื่อพระบิดาของพระนางสวรรคตในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีที่ 51 ก่อนคริสตกาล พระนางเป็นพระราชาเมื่อพระเชษฐภคินีอีกสองพระองค์สิ้นพระชนม์ลง พระนางยังมีพระขนิษฐาอีกองค์ที่มีชื่อว่าอาร์สิโนเอ ในช่วงแรก พระนางครองราชย์ร่วมกับพระบิดาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ต่อมาก็ได้ครองราชย์ร่วมกับพระอนุชาอีกสองพระองค์ ได้แก่ ทอเลมีที่ 13 ผู้ต่อต้านการปกครองของโรมันและทอเลมีที่ 14 แต่การสืบราชบัลลังก์ของราชวงศ์ทอเลมีนั้นนิยมการสืบเชื้อสายทางมารดา พระอนุชาทั้งสองพระองค์จึงต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระเชษฐภคินีคือคลีโอพัตรา เพื่อขึ้นครองราชย์ได้อย่างถูกต้องตามกฎมนเทียรบาล ภายหลังจากที่กษัตริย์ผู้เป็นพระอนุชาและสวามีของพระนางสวรรคตลง คลีโอพัตราได้แต่งตั้งให้โอรสของพระนางเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป มีพระนามว่าทอเลมีที่ 15 ซีซาเรียน ขึ้นครองบัลลังก์ร่วมกัน ระหว่างปีที่ 44 - 30 ก่อนคริสตกาล

ความสัมพันธ์กับจูเลียส ซีซาร์

ในปีที่ 48 ก่อนคริสตกาล คณะที่ปรึกษาของทอเลมีที่ 13 นำโดยขันทีโปรธินุส เข้ายึดอำนาจของคลีโอพัตรา พระนางหนีจากอียิปต์ โดยมีอาร์สิโนเอ พระขนิษฐาติดตามไปด้วย ต่อมาในปีเดียวกัน อำนาจของทอเลมีที่ 13 ถูกลิดรอนเมื่อเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโรม กรณีที่พระองค์เอาใจซีซ่าร์ด้วยการประหารนายพลปอมเปอุส มักนุส (ซึ่งมีภรรยาเป็นลูกสาวของ จูเลียส ซีซาร์ นางเสียชีวิตขณะคลอดบุตรชาย) ซึ่งหลบหนีซีซาร์มาที่เมืองอเล็กซานเดรีย ซีซาร์ไม่พอใจการกระทำดังกล่าว จึงยกทัพบุกยึดเมืองหลวงของอียิปต์ พร้อมกับตั้งตนเป็นผู้ตัดสินคดีชิงบัลลังก์ระหว่างทอเลมีที่ 13 และ คลีโอพัตรา หลังจากการสู้รบช่วงสั้น ๆ ทอเลมีสิ้นพระชนม์ ซีซาร์คืนอำนาจให้แก่พระนาง โดย ทอเลมีที่ 14 เป็นผู้ร่วมครองบัลลังก์
ซีซาร์ พำนักในอียิปต์ตลอดช่วงฤดูหนาว ระหว่างปีที่ 48 ก่อนคริสตกาล - 47 ก่อนคริสตกาล พระนางสร้างความได้เปรียบทางการเมืองให้แก่ตนด้วยการเป็นคนรักของเขา ทำให้อียิปต์ยังคงเป็นความเป็นเอกราชไว้ได้ แต่ยังคงมีกองกำลังทหารโรมันสามกองประจำการอยู่ พระนางให้กำเนิดพระโอรสชื่อทอเลมี ซีซาร์ (หรือมีชื่อเล่นว่าซีซาเรียน ซึ่งแปลว่าซีซาร์น้อย) อย่างไรก็ดี เขาปฏิเสธซีซาเรียนเป็นผู้สืบทอดอำนาจของตน และได้แต่งตั้งให้หลานชายชื่อ ออกุสตุส ซีซาร์ อ็อกตาเวียน เป็นผู้สืบทอดอำนาจแทน
พระนางกับซีซาเรียนเดินทางเยือนกรุงโรมในระหว่างปีที่ 46 ก่อนคริสตกาล และ 44 ก่อนคริสตกาล ในช่วงเหตุการณ์ลอบสังหารซีซ่าร์
ก่อนกลับถึงอียิปต์เพียงเล็กน้อย ทอเลมีที่ 14 สวรรคตอย่างลึกลับ พระนางแต่งตั้งซีซาเรียนเป็นผู้ร่วมครองบัลลังก์ (สันนิษฐานกันว่าพระนางลอบวางยาพิษทอเลมี ผู้เป็นอนุชาของตนเอง)

ความสัมพันธ์กับมาร์ค แอนโทนี

ในปีที่ 42 ก่อนคริสตกาล มาร์ค แอนโทนี หนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการชุดที่สองของโรม (ผู้ซึ่งปกครองกรุงโรมในช่วงสุญญากาศทางอำนาจหลังอสัญกรรมของซีซาร์) ขอให้คลีโอพัตราเดินทางมาพบเขาที่เมืองทาร์ซุส ในแคว้น  ซิลิเซีย เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับความจงรักภักดีของพระนางต่ออาณาจักรโรมัน ต่อมาในช่วงฤดูหนาวระหว่างปีที่ 42 ก่อนคริสตกาล - ปีที่ 41 ก่อนคริสตกาล เขาใช้เวลาอยู่กับพระนางในอเล็กซานเดรีย จนมีโอรส - ธิดาฝาแฝด พระนามว่าอเล็กซานเดอร์ เฮลิออส และ คลีโอพัตรา เซเลเน
สี่ปีต่อมาในปีที่ 37 ก่อนคริสตกาล เขาเดินทางเยือนอเล็กซานเดรียอีกครั้ง ระหว่างทางออกรบกับจักรวรรดิพาร์เธีย และได้สานสัมพันธ์กับพระนางทั้งยังถือเอาอเล็กซานเดรียเป็นบ้านนับแต่นั้นเป็นต้นมา เขาอภิเษกสมรสกับพระนางตามประเพณีอียิปต์ (ตามที่กล่าวไว้ในจดหมายของสุเอโตนิอุส) ทั้ง ๆ ที่แต่งงานแล้วกับอ็อกตาเวีย น้องสาวของ อ็อกตาเวียน (หนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการชุดที่สองของโรม) เขามีบุตรกับพระนางอีกหนึ่งคน ชื่อ ทอเลมี ฟิลาเดลฟุส ในพิธีมอบดินแดนอเล็กซานเดรียเป็นของขวัญชิ้นใหญ่แก่พระนางและโอรสธิดา ช่วงปลายปีที่ 34 ก่อนคริสตกาล (หลังจากที่เขามีชัยเหนืออาร์มีเนีย) พระนางกับซีซาเรียนได้ปกครองอียิปต์กับไซปรัสร่วมกัน อเล็กซานเดอร์ เฮลิออส ได้เป็นกษัตริย์ปกครองอาร์มีเนีย เมเดีย และ พาร์เธีย คลีโอพัตรา เซเรเน ได้เป็นราชินีปกครองซีเรไนกา และ ลิเบีย ส่วนทอเลมี ฟิลาเดลฟุสได้เป็นกษัตริย์ปกครองโฟนิเซีย, ซีเรีย และ ซิลิเซีย นอกจากนี้พระนางยังดำรงตำแหน่งราชินีแห่งราชาทั้งปวงอีกด้วย
มีเหตุการณ์อันโด่งดังมากมายเกี่ยวกับคลีโอพัตรา ที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดซึ่งไม่อาจตรวจสอบความจริงได้ คือเรื่องพระกระยาหารค่ำมูลค่าแพงลิบ โดยพระนางหยอกเย้าพนันกับแอนโทนีว่าสามารถใช้เงินสิบล้านเซสเตอร์ซีอุสกับพระกระยาหารมื้อเดียวได้ เขารับพนัน คืนต่อมาหลังพระกระยาหารค่ำธรรมดา พระนางรับสั่งให้นำน้ำส้มสายชูอย่างแรงหนึ่งถ้วยเข้ามาถวาย แล้วทรงถอดต่างหูไข่มุกอันประมาณค่ามิได้ หย่อนลงไปในถ้วยปล่อยให้ไข่มุกละลายแล้วดื่มส่วนผสมนั้น
พฤติกรรมของมาร์ค แอนโทนี นับว่ากระด้างกระเดื่องมากในสายตาของพวกโรมัน อ็อกตาเวียนจึงโน้มน้าวให้วุฒิสภาเปิดสงครามกับอียิปต์ ในปีที่ 31 ก่อนคริสตกาล กองกำลังของ แอนโทนี เผชิญหน้ากับทัพเรือทหารโรมันนอกชายฝั่งแอคติอุม คลีโอพัตราร่วมออกรบด้วยทัพเรือของพระนางเองและเห็นกองเรือของเขาที่มีแต่เรือขนาดเล็กขาดแคลนยุทโธปกรณ์ ต้องพ่ายแพ้กับกองเรือโรมันที่มีเรือขนาดใหญ่กว่า พระนางนำเรือหลบหนี ทำให้แอนโทนี ทิ้งสนามรบกลางทะเลและรีบตามพระนางไป

สิ้นพระชนม์

มักกล่าวกันว่าคลีโอพัตราใช้งูพิษชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แอสพฺ (asp) ซึ่งเป็นศัพท์เทคนิค โดยทั่วไปหมายถึงงูพิษหลากหลายประเภทในแอฟริกา และยุโรป แต่ในที่นี้ หมายถึงงูเห่าอียิปต์ ซึ่งใช้ประหารนักโทษในบางครั้ง มีเรื่องเล่าว่าพระนางทดสอบวิธีการฆ่าตัวตายด้วยวิธีต่าง ๆ นานากับข้าราชบริพารและนักโทษหลายคน ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีการที่เห็นว่ามีประสิทธิภาพที่สุดหลังการรบที่อ่าวแอคติอุม อ็อกตาเวียนยกพลขึ้นบกบุกอียิปต์ ขณะใกล้ถึงอเล็กซานเดรีย กองกำลังของแอนโทนีหนีทัพไปร่วมด้วย คลีโอพัตรา และ มาร์ค แอนโทนี ตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยพระนางใช้งูพิษปลิดชีพพระองค์เองเมื่อวันที่ 12 สิงหาคมในปีที่ 30 ก่อนคริสตกาล ซีซาเรียน โอรสของพระนางที่เกิดกับจูเลียส ซีซาร์ ถูก อ็อกตาเวียนปลงพระชนม์ ส่วนโอรสธิดาอีกสามพระองค์ที่เกิดกับแอนโทนี รอดชีวิตและต้องเดินทางไปโรม โดยการร้องขอและช่วยเหลือของ อ็อกตาเวีย อดีตภรรยาของเขา
ด้วยความมีเชื้อสายกรีก - มาเซโดเนีย ทั้งด้านภาษาและวัฒนธรรม พระนางเป็นสมาชิกคนแรกของราชวงศ์ทอเลมี (ซึ่งปกครองอิยิปต์ยาวนานกว่า 300 ปี) ที่มีชื่อเสียงในอัจฉริยะภาพเป็นเลิศอย่างแตกฉานทางภาษาอียิปต์ และภาษาต่างประเทศอีก 14 ภาษา

1 ความคิดเห็น: